หลายปีมานี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดีหลายสิ่งหลายอย่างดูเหมือนหยุดนิ่งอยู่กับที่ บางอย่างก็ทรุดลง การเดินทางท่องเที่ยวก็เช่นเดียวกัน หลายคนไม่อยากออกจากบ้านเพราะเกรงว่าจะเกิดค่าใช้จ่าย สู้เก็บเงินไว้ดีกว่า อนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอน จากวันนี้มีกินมีใช้วันพรุ่งนี้อาจไม่มีก็ได้ คิดๆ แล้วก็เหนื่อยเบื่อหน่ายมากกว่าเดิม…เพราะผมเองก็คิดอย่างนี้อยู่เหมือนกัน
แต่ก็อย่างว่า สำหรับคนที่ชอบเดินทาง จะให้นั่งๆ นอนๆ อยู่บ้านดูทีวีอ่านหนังสือก็รู้สึกร้อนระอุ จิตใจกระสับกระส่ายร้อนรน สองเท้าเริ่มคันยิบๆ (ไม่ใช่ฮ่องกงฟุตนะครับ) ทนไม่ไหวรีบเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าใบเก่า และรถคันเก่า ออกเดินทางไปจังหวัดอุทัยธานี ดีกว่า เพราะพึ่งอ่านหนังสือท่องเที่ยวเล่มหนึ่งจบไป เขาเขียนถึงจังหวัดนี้ไว้ได้อย่างน่าสนใจทีเดียว ที่สำคัญจังหวัดอุทัยธานี อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 222 กิโลเมตร เท่านั้น ค่าใช้จ่ายคงไม่มากมายเท่าไรนัก พลาดท่าจริงๆ ก็ยังมีเต้นท์ติดท้ายรถ ไปกางนอนที่ห้วยขาแข้ง ให้สบายอารมณ์
พูดถึงห้วยขาแข้งก็นึกถึงคุณสืบ นาคะเสถียร วีรบุรุษแห่งพงไพร วันนั้นวันที่ 1 กันยายน 2533 วันที่ผมพึ่งได้รู้จัก และเป็นวันเดียวกันที่คุณสืบได้จากไป จากไปเพื่อปลุกทุกคนให้ตื่นตัว ด้วยเสียงปืนเพียง 1 นัด ที่ปลิดชีพตนเองเพื่อให้สรรพชีวิตในผืนป่าใหญ่ได้มีชีวิตอยู่ ราวกับตำนานชีวิตหนึ่งแลกหลายชีวิต …มันช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าเหลือเกิน ผมขอสดุดีด้วยจิตคาราวะ
อุทัยธานี เมืองที่หลายคนชอบผ่านเลยไป
ทั้งที่อุทัยธานี เป็นจังหวัดที่มีทรัพยากรธรรมชาติอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ รวมไปถึงรูปแบบการดำรงชีวิตแบบดั้งเดิม ด้วยการที่เป็นเมืองหลายคนชอบผ่านเลยไป น้อยคนนักจะตั้งใจแวะเวียนเข้าไปเยี่ยมยล ด้วยเหตุนี้จึงทำให้วัฒนธรรมของผู้คนที่นี่ดำเนินไปด้วยความปกติสุขและสันติ อย่างไม่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนัก
วันนี้ผมได้เดินทางแบบเจาะจงไปยังเมืองเงียบๆ เมืองนี้ ด้วยความหวังที่ว่า ธรรมชาติของเมืองสงบน่าจะทำให้เกิดสมาธิ และมุมมองใหม่ โดยอาจจะให้คำตอบกับบางเรื่อง ที่ผมยังค้นหาอยู่ก็เป็นได้
ไหว้พระดังเมืองอุทัยธานี
จุดแรกที่ผมได้แวะเที่ยวชมคือ การได้ไปนมัสการรูปเหมือนพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ณ วัดจันทาราม หรือในอีกชื่อหนึ่งที่รู้จักกันดีคือ วัดท่าซุง วัดนี้เป็นวัดที่เก่า สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่โดยท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
จุดเด่นของวัดอยู่ที่วิหารแก้ว เป็นอาคารที่มีความวิจิตรตระการตา เสาทุกต้นประดับประดาด้วยแก้ว เมื่อยามกระทบกับแสงจะเป็นประกายระยิบ ว่ากันว่าวิหารแห่งนี้ได้สร้างตามนิมิตรของท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่จำลองสวรรค์ลงมาให้พุทธศาสนิกชนทั่วไปได้ชื่นชม
นอกจากวิหารแก้วแล้ว ภายในวัดยังมีปราสาททองคำ ซึ่งถือเป็นปราสาทที่สร้างขึ้นได้อย่างงดงามที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย ปัจจุบันปราสาทหลังนี้ยังก่อสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ก็สามารถเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าไปชมได้ในบริเวณชั้นล่างและภายนอกโดยรวม
เขาสะแกกรัง
จากวัดท่าซุง ขับรถย้อนเข้าไปในตัวเมืองอุทัย ผ่านเทศบาล ถึงแยกวงเวียนวิทยุ แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามถนนท่าช้าง ไม่ไกลนักก็จะพบกับเขาสูงตั้งเด่นอยู่ตรงหน้าแลเห็นยอดมณฑปอยู่บนยอดเขา นี่แหละครับเขาสะแกกรัง ส่วนบริเวณด้านล่างนั้นเป็นที่ตั้งของวัดสังกัสรัตนคีรี สองสถานที่นี้อยู่ใกล้ชิดติดกันเพียงแต่มีถนนสายเล็กคั่นกลางไว้เท่านั้นเอง
ผมจอดรถแล้วยืนมองจากด้านล่างไปตามบันไดสู่ยอดเขาสะแกกรัง พินิจดูแล้วสูงเอาการอยู่ ชาวบ้านแถวนี้บอกว่าบันไดสู่ยอดเขามีจำนวนทั้งสิ้น 449 ขั้น และตรงจุดนี้เองเป็นที่มาของภาพสวยๆ ในวันออกพรรษาของทุกปี (แรม 1 ค่ำ เดือน 11) ซึ่งจะมีพระสงฆ์นับร้อยรูปมาทำพิธีบนยอดเขาแห่งนี้ แล้วเดินลงมารับบิณฑบาตรจากพุทธศาสนิกชน เป็นทิวแถวยาวลงมา โดยเรียกกันว่าประเพณีตักบาตรเทโว เป็นภาพที่งดงามน่าประทับใจมาก
ตอนแรกก็คิดว่าจะเดินขึ้นเขาสะแกกรัง เพื่อจะนับว่าบันไดสู่ยอดเขานี้ยังครบ 449 ขั้นอยู่หรือเปล่า แต่แดดที่แผดร้อนเอาการอยู่ทำให้ถอดใจเดินกลับเข้ารถ แล้วขับอ้อมไปทางด้านหลัง ซึ่งมีถนนขึ้นสู่ยอดเขาได้อย่างสะดวก ด้วยระยะทางเพียง 4 กิโลเมตร ผมก็ได้ขึ้นมาสูดอากาศเย็นสบายบนยอดเขาสะแกกรัง และได้ชมทิวทัศน์เมืองอุทัยได้อย่างถนัดชัดเจน
เขาสะแกกรัง เดิมเรียกกันว่า วัดเขาแก้ว เป็นเขาขนาดเล็กตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของตัวเมือง เมื่อมองจากมุมไกลจะเห็นเป็นรูปร่างคล้ายกับสิงโตกำลังนอน บนยอดเขานี้มีมณฑปหลังใหญ่อยู่หนึ่งหลัง ภายในเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง เป็นที่เคารพสักการะของชาวจังหวัดอุทัยธานี ด้านข้างของมณฑปทางทิศตะวันออก มีระฆังสัมฤทธิ์ใบใหญ่ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เชื่อกันว่าเป็นระฆังที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก ใครมาถึงยอดเขาต้องลองตีระฆังใบนี้ น่าสนใจครับ นานๆ จะได้เข้าวัดเข้าวา จุดธูปเทียนบูชารอยพระพุทธบาทจำลองเรียบร้อยแล้ว ออกมาตีระฆังให้เสียงก้องกังวาลไปไกลๆ ทั้งสนุกและก็ได้ความสบายใจ เวลามาเที่ยวเมืองอุทัยอย่าลืมมาที่นี่นะครับ วิวสวยจริงๆ
ด้านหลังมณฑปยังมีพลับพลา และพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก พระราชบิดาของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกต้นราชวงศ์จักรีประดิษฐานอยู่ ตามประวัติเล่าสืบต่อกันว่า สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก (ทองดี) ทรงประสูติที่บ้านสะแกกรัง แล้วทรงรับราชการในแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 (พระเจ้าบรมโกศ) ได้ดำรงตำแหน่ง พระอักษรสุนทร เสมียนตรากรมมหาดไทย ถึงรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาที่ 3 (พระเจ้าเอกทัศ) ขณะนั้นพม่ายกกองทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยา เกิดการระส่ำระสายแตกสามัคคีขึ้นในพระนคร จึงทรงอพยพครอบครัวไปรับราชการกับเจ้าเมืองพิษณุโลก และต่อมาทรงพระประชวร จนสิ้นพระชนม์ในเมืองพิษณุโลก เมืองอุทัยธานีในทุกวันนี้ จึงมีชื่อเรียกอย่างน่าภาคภูมิใจอีกชื่อหนึ่งว่า “เมืองพระชนกจักรี”
บ่ายคล้อยเสียงท้องร้องเตือนว่า ผมควรจะหาอาหารอร่อยๆ ลงกระเพาะได้แล้ว สอบถามจากชาวเมืองอุทัย ได้ความว่า ร้านที่มีเมนูปลาสดๆ รสเด็ดๆ ของเมืองอุทัย ต้องไปที่ร้านนกน้อย ร้านนี้ตั้งอยู่ริมน้ำสะแกกรัง ใกล้กับสะพานข้ามไปเกาะเทโพ หาไม่ยากครับถามใครก็รู้จัก
นอกจากร้านอาหารนกน้อยแล้ว ในเมืองอุทัยธานี ก็ยังมีบริการเรือลำใหญ่ๆ ล่องลำน้ำสะแกกรัง ชมวิถีชีวิตของผู้คนที่อาอาศัยอยู่ในเรือนแพ และริมฝั่งน้ำ หากล่องตอนเช้าๆ ก็จะได้พบเห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำสะแกกรังในบรรยากาศที่หาชมได้ยากยิ่ง
แม่น้ำสะแกกรังสายนี้ เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของชาวจังหวัดอุทัยธานี ในปัจจุบันยังมีผู้คนที่อาศัยอยู่ในเรือนแพหน้าเมืองอุทัยหลายหลัง แต่ละหลังมีอาชีพทำการประมงเลี้ยงปลา ปลาที่เลี้ยงส่วนใหญ่ก็คือปลาแรด ซึ่งเป็นปลาน้ำจืด เนื้อของปลาแรดมีรสชาติอร่อย นำไปประกอบอาหารได้หลากหลาย โดยปลาแรดนี้ถือเป็นปลาประจำจังหวัดอุทัยธานีอีกด้วย เรือนแพบางหลังได้เปิดบริการให้นักท่องเที่ยวได้มาพักในลักษณะโฮมสเตย์ ก็ได้บรรยากาศที่แปลกใหม่
หลังมื้อเที่ยงตอนบ่ายๆ ผ่านไปแบบสำราญใจสบายกระเพาะน้อยๆ ของผมแล้ว โปรแกรมต่อไปผมต้องเดินทางต่อไปยังถ้ำเขาฆ้องชัย อำเภอลานสัก เพื่อเตรียมชมภาพความประทับใจในยามพลบค่ำ เมื่อฝูงค้างคาวนับล้านตัวโบยบินออกมาจากถ้ำ เป็นกิจวัตรในช่วงเวลาหลังเคารพธงชาตินิดหน่อย ใ นช่วงเวลานั้นผมปักหลักอยู่ที่โรงเรียนวัดเขาฆ้องชัย ซึ่งเป็นทำเลที่ดีในการชมฝูงค้างคาว เมื่อถึงเวลาราวกับค้างคาวมีนาฬิกาอยู่ในถ้ำ อภิมหาประชากรมวลหมู่ค้างคาวบินออกมาเป็นเส้นสาย ทำให้ท้องฟ้ายามสนธยาใกล้เวลาเปลี่ยนสี มีเส้นสายสีดำพาดผ่านคดเคี้ยวไปมายาวสุดสายตาน่าอัศจรรย์
ผมไม่รู้ว่าค้างคาวเหล่านี้จะบินไปที่ไหน ไปกินผลไม้ที่สวนของใคร ผมรู้แต่เพียงว่า ค้างคาวฝูงนี้จะยังคงออกมาจากถ้ำอย่างตรงเวลาทุกวัน ตราบเท่าที่ยังไม่มีใครไปทำลายธรรมชาติ ซึ่งเป็นที่อยู่ที่อาศัยหากินนบริเวณนั้น โดยมันอาจจะทึกทักไปว่า ถ้ำเขาฆ้องชัยคือประเทศอันสงบสุขของมัน
ผมส่งค้างคาวออกหากินเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็ถึงเวลาที่จะหาที่หลับนอนให้กับตนเอง ในตอนแรกของการเดินทางมา ผมว่าจะไปกางเต้นท์นอนที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง เพื่อซึมซับกับบรรยากาศธรรมชาติแบบแนบชิดกันไปเลย แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจ เพราะท่าทางฝนฟ้าส่อเค้าทมึนมาแล้ว ช่วงนี้เอาแน่ไม่ได้เลยเดี๋ยวแดดร้อนเดี๋ยวฝนตก ขอเข้าพักในรีสอร์ทก่อนดีกว่า การเดินทางในวันนี้ของผมจึงจบลงอย่างสบายๆ ที่ห้วยป่าปกรีสอร์ท ที่ตั้งอยู่ในอำเภอบ้านไร่ ใกล้ๆ กับน้ำตกไซเบอร์ นั่นแหละครับ ที่เลือกพักที่นี่ก็เพราะ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นผมมีนัดกับพระอาทิตย์ ในเส้นทางบ้านไร่ – บ้านอีมาด – อีทราย หากจากที่ผมเลือกพักประมาณ 10 กิโลเมตร จุดนั้นเป็นจุดชมทิวทัศน์ของอำเภอบ้านไร่ และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น ในฤดูหนาวก็จะมีทะเลหมอกให้ชื่นชมอีกด้วย
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับจังหวัดอุทัยธานี จังหวัดที่มีธรรมชาติดีไม่ไกลกรุง หลายท่านอาจจะเคยผ่านเลยไป แต่หลังจากนี้ผมมั่นใจว่า หากท่านต้องการพักผ่อนแบบเงียบสงบในธรรมและธรรมชาติ ได้ชื่นชมวิถีชีวิตยามเช้าในตลาดเก่า ได้กินปลาสดๆ ปรุงรสอร่อย จังหวัดอุทัยธานีคงเป็นจังหวัดที่ท่านต้องคิดถึง