หน้าที่ของเทพกุมารี คือการประกอบพิธีบูชาเทพแห่งเตาไฟ บางครั้งหากมีผู้เดินทางเข้ามาขอพร โชคดีหน่อยเทพกุมารีก็จะปรากฏกายให้เห็นที่บริเวณหน้าต่างชั้นบน ไม่นานนักก็หลบหายเข้าไปเฉกเช่นเดิม
(ต่อจากตอนที่แล้ว)
ผังเมืองในย่านธาเมลเป็นเหมือนตาราง หากเดินเป็นรอบแบบสี่เหลี่ยมรับรองไม่มีหลง แต่ช่วงที่ผมหลงจากคนอื่นในกลุ่ม ก็พยามจับทิศว่าเรามาจากด้านไหนแล้วเดินเป็นวงเข้าไปหา ก็เจอที่นัดหมายซึ่งเป็นจุดที่ลงรถในตอนแรก
เย็นย่ำค่ำคืนนี้ซึ่งเป็นค่ำคืนแรกที่เราทุกคนเดินทางมาถึงประเทศเนปาล เราได้ไปรับประทานอาหารค่ำแบบพื้นเมืองที่ภัตตาคารเนปาลลีจุโล พร้อมชมการแสดงระบำเนปาลีแบบดั้งเดิมอีกหลายชุด
บรรยากาศภายในภัตตาคารตกแต่งได้อย่างสวยงาม มีความคลาสสิคเพราะเป็นอาคารเก่า คนเสริฟอาหารแต่กายด้วยชุดประจำชาติ มีความสุภาพพร้อมบริการด้วยรอยยิ้มไมตรี ที่นั่งเป็นแบบนั่งกับพื้นมีเบาะนุ่มๆ ให้คนละ 1 ใบ คล้ายๆ กับการนั่งแบบวงขันโตกของบ้านเรา แรกเริ่มตรงหน้าจะว่างเปล่า มีเพียงช้อน และแก้วน้ำ ไม่นานคนเสริฟก็จะนำถาดมาวางให้คนละ 1 ใบ ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญในการรับประทานอาหารแบบพื้นเมือง
ภาชนะเกือบทุกชิ้นทำมาจากทองเหลือง เขาขัดกันจนเงาวับ ดูแล้วค่อนข้างสมกับฐานะผมหน่อย…อิอิ ว่ากันว่าประเทศเนปาลและอินเดียเขาร่ำรวยทองเหลืองนั้นคงจะจริง โดยมีความเชื่อว่าการใช้ภาชนะที่ทำมาจากทองเหลืองนี้ จะเป็นผลดีต่อสุขภาพ อันนี้ไม่ทราบว่าจริงหรือเปล่า
ผมชอบเวลาที่เขามาเสริฟน้ำชากับเหล้าพื้นเมือง คนเสริฟจะยืนอยู่ด้านหลังที่เรานั่ง แล้วก็ยื่นกาน้ำ กาเหล้าให้ห่างจากแก้วประมาณ 1 เมตร โดยที่เขาไม่ต้องงอตัวลงมา ของเหลวจากกาไหลลงมายังแก้วได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ไม่มีกระฉอกนอกลู่นอกทางเลยแม้แต่น้อย สุดยอดครับ ผมพยามให้เขามารินให้ใหม่อยู่เรื่อยๆ เพราะชอบวิธีการริน เลยจำใจต้องทำลายของเหลวในแก้วให้หมดไปแบบเนืองๆ เมื่อกลับถึงที่พักผมจึงหลับสบายบนเตียงนุ่มของหิมาลัยโฮเตล
พระราชวังหนุมานโธกา – จตุรัสกาฐมาณฑุ ดูร์บาร์ –กาฐมาณฑป – ขอพรจากเทพกุมารี – ชมเทือกเขาหิมาลัยที่เมืองธุลีเขล
วันต่อมาเราตื่นกันแต่เช้าด้วยอารมณ์ตื่นเต้น ที่โปรแกรมท่องเที่ยวในวันนี้จะได้แวะไปพบกับเทพกุมารีองค์เป็นๆ แบบตัวจริงเสียงจริง ว่าจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
พระราชวังหนุมานโธกา (Hanuman Dhoka Palace) เป็นสถานที่ที่ใช้เพื่อประกอบพิธีกรรมสำคัญของพระมหากษัตริย์และชนในชั้นราชวงศ์ รวมทั้งเป็นสถานที่เสด็จออกชมการสวนสนามของเหล่าทหาร เสียดายที่ทางการเนปาลไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปเยี่ยมชมได้ แต่ก็พอจะมองจากภายนอกได้เห็นถึงความสวยงามของพระราชวังได้บ้าง
ตรงประตูทางพระราชวังเข้ามีรูปปั้นหนุมาน หรือที่เรียกกันว่า หนุมานโธกา (Hanuman Dhoka) ตั้งอยู่บนแท่น เปรียบเสมือนนายทวารทำหน้าที่ปกป้องรักษาพระราชวัง รูปปั้นหนุมาโธกานี้เป็นที่เคารพสักการะของชาวเนปาล มีผู้คนเดินทางกราบไหว้ขอพรอยู่อย่างไม่ขาดสาย เชื่อกันว่าหนุมานโธกา เปรียบเสมือนเทพองค์หนึ่ง
ใกล้ๆ กันเป็นที่ตั้งของหอพสันตปุร์ และจตุรัสกาฐมาณฑุ ดูบาร์ (Kathmandu Durbar Square) จตุรัสแห่งนี้มีอาคารที่สวยงามทางสถาปัตยกรรม มีปราสาทเก่าแก่ที่สร้างจากไม้ โดยแกะสลักไว้อย่างวิจิตรบรรจง เป็นผลงานที่แสดงออกถึงพลังศรัทธาอย่างแรงกล้า บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมของประเทศเนปาล
ในอดีตจตุรัสกาฐมาณฑุ ดูบาร์ เป็นสถานที่ที่กษัตริย์เนปาลใช้ประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกเมื่อขึ้นครองราช นับเป็นสถานที่มีความสำคัญและงดงามมากแห่งหนึ่งที่น่าไปเที่ยวชม ทั้งยังผ่านการคัดเลือกให้เป็นมรดกโลก เมื่อปี พ.ศ. 2522 อีกด้วย
ถัดไปเป็นกาฐมาณฑป (Kasthamandap) ดูจากชื่อแล้วคล้ายกับมณฑปบ้านเราเลยนะครับ มีลักษณะเป็นอาคารไม้เก่าแก่หลังใหญ่ ตั้งอยู่ใกล้กับวัดกุมารี เล่าสืบต่อกันมาว่าสร้างโดยกษัตริย์ลักษมี นาสิงห์ มัลละ เมื่อประมาณต้นศตวรรษที่ 16 โดยใช้ไม้จากต้นสาระเพียงต้นเดียว ชื่อของกาฐมาณฑปนี้เป็นที่มาของชื่อเมือง กาฐมาณฑุ ในปัจจุบันด้วย
แม้จะเป็นสถานที่สำคัญ วิถีชีวิตของชาวเนปาลก็ยังดำเนินไปด้วยความเรียบง่าย แต่ว่าแปลกตาสำหรับชาวต่างชาติ เช่นภาพพ่อค้าแม่ค้าขายของอยู่บนสถูปที่เรียงราย วางผักผลไม้ที่ขายไว้บนเหลี่ยมมุม บางจุดก็ปล่อยวัวให้นั่งนอนเล่น ทั้งที่เป็นจตุรัสกลางเมือง แต่คงไม่เป็นไรเพราะวัวเป็นสัตว์ชั้นสูงในศาสนาฮินดู บริเวณนี้ยังมีฝูงนกพิราบลงมากินอาหารโดยถ่ายมูลไว้ในที่เดียวกัน มันเป็นภาพแห่งชีวิตที่ได้ดำเนินมานาน คงนานพอๆ กับสิ่งก่อสร้างอัศจรรย์ตรงหน้าเวลานี้
ที่น่าแปลกใจคือ สถาปัตยกรรมอันมีค่าเหล่านี้ยังคงอยู่อย่างเกือบครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่มีใครหักหรือทำลายทั้งที่อยู่ใกล้มือ คงเป็นเพราะคำว่า “ศรัทธา”
และแล้วก็มาถึงโปรแกรมที่จัดว่าเป็นไฮไลท์ของวัน คือการเข้าไปสักการะเทพธิดากุมารี วันนี้ละที่จะได้เห็นเทพองค์เป็นๆ ผมก็เดินตุ๊บปัดตุ๊บเป๋ตามคณะไปเรื่อยๆ ถ่ายภาพไปพลาง คุยกับคนขายของจอมตื้อด้วยภาษาอังกฤษที่ไม่ค่อยจะแข็งแรง แต่ก็พอรู้เรื่องสนุกดี พ่อค้าแม่ค้าชาวเนปาลพูดภาษาอังกฤษกันคล่องปรื๋อ ส่วนผมแค่นับเลขและตามด้วยหน่วยเป็นดอลล่าได้ก็สนุกแล้ว ต่อราคากันมันระเบิด
เคล็ดลับพื้นฐานเลยนะครับ กับการต่อราคาพ่อค้าแม่ค้าที่ชอบตามตื้อ อย่างแรกบอกไปเลยว่า เมื่อวานซื้อของชนิดนี้ไปแล้ว… จากนั้นทำเป็นไม่สนใจ ถ้าราคาเขาลดมาจวนเจียนที่เราต้องการแล้ว ก็ฝืนทำใจแข็งสักหน่อย เพราะที่เนปาลจะมีคนขายของเร่เดินมาขายอยู่มากมาย ต้องทำใจแข็งไว้ครับ อย่าไปอยากได้จนออกหน้าออกตา ถึงแม้จะเป็นสินค้าที่ถูกใจคุณมากก็ตาม ประเดี๋ยวเถอะเดี๋ยวเขาก็ลดราคาให้เอง งานนี้ต้องวัดใจกันครับ อย่างไงเราคนไทยก็ได้ชื่อว่าต่อราคาเก่งที่สุดในโลกอยู่แล้ว อย่าไปทำเสียชื่อประเทศนะครับ
วัดกุมารี (Temple of Kumari) ชาวเนปาลมีความเชื่อกันสืบมาว่า กุมารี คือเทพผู้บริสุทธิ์ที่ถือกำเนิดมาบนโลกมนุษย์ ชาวเนปาลมักจะมาขอพรเพื่อให้ตนประสบความสำเร็จในกิจการงานต่างๆ
สำหรับผู้ที่จะเป็นเทพกุมารีได้นั้น ต้องผ่านการคัดเลือก โดยจะคัดจากเด็กผู้หญิงที่มีอายุประมาณ 3-5 ปี จากตระกูลศากยะซึ่งถือเป็นตระกูลของพระพุทธเจ้า และต้องผ่านการทดสอบหลายอย่าง อาทิ ต้องเป็นเด็กที่ไม่ร้องไห้ระหว่างการทดสอบ มีการตรวจดวงชะตาอย่างละเอียด เมื่อได้รับตำแหน่งเป็นกุมารีแล้ว ก็จะได้รับการอัญเชิญไปพำนักอยู่ที่วังกุมารี ระหว่างการดำรงตำแหน่งนี้ห้ามให้มีเลือดออกจากร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ หรือการมีรอบเดือน หากผิดกฏข้อนี้ก็จะต้องทำการคัดเลือกหาเด็กคนใหม่ขึ้นมาเป็นเทพกุมารีแทน
ส่วนหน้าที่ของเทพกุมารี คือการประกอบพิธีบูชาเทพแห่งเตาไฟ บางครั้งหากมีผู้เดินทางเข้ามาขอพร โชคดีหน่อยเทพกุมารีก็จะปรากฏกายที่บริเวณหน้าต่างชั้นบนไม่นานนักก็หลบหายเข้าไปเฉกเช่นเดิม ภายในที่พำนักชั้นล่างนี้นักท่องเที่ยวสามารถถ่ายภาพได้ แต่ห้ามถ่ายภาพเมื่อเวลาเทพกุมารีปรากฏกาย เราทุกคนจึงไม่มีใครได้ภาพถ่ายต้องห้ามนั้นกลับมา เพียงโชคดีที่ได้มีโอกาสเห็นเทพกุมารีเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้นเอง
เทพกุมารีองค์ปัจจุบัน เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักผิวขาว ดวงตาและใบหน้าคมคาย แต่งกายสวยสะอาดด้วยชุดพื้นเมือง เป็นเด็กที่ท่าทางยิ้มง่ายทว่ามีพลัง เมื่อมาปรากฏกายที่หน้าต่างบานใหญ่ กรอบหน้าต่างเป็นไม้แกะสลักอย่างอลังการ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาวเนปาล ทำให้ดูมีมนต์ขลังสะกดใจเราทั้งคณะให้ยืนอึ้งกันไปได้พักหนึ่งทีเดียว
วันนี้ผมได้พบเทพกุมารีแล้ว พรก็ได้ขอไปแล้ว แต่จะสำเร็จดังใจหวังหรือไม่คงต้องรอดูกันต่อไป
เมืองธุลีเขล (Dhulikhel) เป็นเมืองที่มีความเก่าโบราณมากเมืองหนึ่ง เส้นทางจากเมืองกาฐมาณฑุมายังเมืองธุลีเขล ค่อนข้างสะดวกแม้เป็นเส้นทางขึ้นภูเขา ทิวทัศน์สองข้างทางน่าชม มีการทำนาขั้นบันไดให้เห็นเป็นชั้นๆ ผ่านหมู่บ้านทำอิฐ และทิวเขาเป็นเส้นทางที่มีเสน่ในตัว ในอดีตชาวเนปาลใช้เส้นทางนี้ทำมาค้าขายกับชาวทิเบต…นั่นแสดงว่า หากผมจะไปทิเบตก็สามารถใช้เส้นทางนี้ได้ล่ะซิ และหากจะไปเมืองลุมพินีสถานที่ประสูตรของพระพุทธเจ้าก็อยู่ห่างกันเพียง 320 กิโลเมตร ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 9 ชั่วโมง แต่ถ้านั่งเครื่องบินไปก็ใช้เวลาแป๊บเดียว ทว่าค่าโดยสารแพงหน่อย คือประมาณ 10,000 บาท / เที่ยว…ว่าแล้วก็หยุดความคิดไว้ตรงนี้ก่อนดีกว่า
เมืองธุลีเขลเป็นเมืองที่มีอากาศดี แม้จะเป็นช่วงฤดูร้อน โรงแรมที่พักในเมืองนี้ไม่นิยมติดเครื่องปรับอากาศ เนื่องจากช่วงค่ำและกลางคืนอากาศจะหนาวมาก และในคืนนี้เราได้พักที่โรงแรมหิมาลัยฮอลิซอน ซึ่งเป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่ในจุดชมวิวที่สวยงามมากที่สุดของเมือง ช่วงค่ำได้มีโอกาสพบปะกับท่านผู้ปกครองเมือง คงประมาณว่าท่านนายอำเภอประมาณนี้แหละ ท่านกล่าวต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรี ท่านพูดภาษาอังกฤษได้เก่ง และยังได้บอกกับคณะเราให้เป็นปลื้มว่า มีบุคคลสำคัญๆ ของโลกมาพักที่นี่หลายท่านแล้วเช่นกัน…อ่ะนะ สมฐานะผมอีกแล้วซิเนี่ยคืนนี้
สำหรับประเทศเนปาล ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่งที่น่าสนใจน่าไปเที่ยวชม แต่ด้วยเนื้อที่อันจำกัด ผมขออนุญาตปิดท้ายปิดท้ายโปรแกรมท่องเที่ยวประเทศเนปาลด้วยการไปสักการะสถูปโพธินาถ (Boudhanath) โดยสถูปโพธินาถตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองกาฐมาณฑุไปทางทิศตะวันออกประมาณ 8 กิโลเมตร
เป็นสถูปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศเนปาล มีลักษณะคล้ายกับสถูปสวะยัมภูนาถ ที่ผมได้ไปสักการะในวันแรกที่ได้เดินทางมาถึง ที่นี่เป็นชุมชนของชาวพุทธ โดยเฉพาะชาวทิเบตที่ได้อพยพมาเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2500 ปัจจุบันชาวทิเบตนิยมมายืนแกว่งล้อมนต์พร้อมสวดภาวนาอยู่ทั่วไปรายรอบองค์สถูป บ้างก็เดินวนรอบองค์สถูปด้วยความศรัทธา
สายลมยังคงพัดโบกโบยให้ทิวธงมนต์สีแดงเหลืองขาวน้ำเงินสะบัดพัดปลิวไสว ที่ธงมนต์มียันต์เขียนติดอยู่ เชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ โดยยันต์นี้จะอำนวยพรเมื่อสายลมเดินทางมาปะทะ แล้วปลิวว่อนไปให้ผู้คนได้รับพรอันประเสริฐ แม้จะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นแต่มนุษย์ในที่ราบกาฐมาณฑุต่างก็มีความเชื่อศรัทธา ผมในฐานะผู้มาเยือนขอร่วมเป็นหนึ่งในศรัทธานี้
มนุษย์เรานั้นล้วนมีความแตกต่างกันออกไปตามถิ่นที่อยู่อาศัย ซึ่งแต่ละบริเวณก็มีวัฒนธรรมการดำเนินชีวิตเป็นของตน ด้วยเพราะความแตกต่างนี้กระมังที่ทำให้มนุษย์เราถวิลหาการเดินทาง เพื่อประสบการณ์เรียนรู้ความเป็นมาเป็นไปของเพื่อนร่วมโลกใบนี้ และ ณ ที่แห่งนี้ประเทศเนปาล…สักครั้งหนึ่งในชีวิต
………………………………………………………………………………………………….